วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

พายุทอร์นาโด ถล่มสหรัฐ


รักโลกแล้วโลกจะรักเรา

ยาสีฟัน ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด

เมื่อพูดถึง "ยาสีฟัน" ทุกคนก็ต้องนึกถึงครีมที่ใช้ทำควาสะอาดฟัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยาสีฟันไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้ฟันขาว สะอาด แข็งแรง อย่างเดียวเท่านั้น แต่ในหลายๆสถานการณ์ ยาสีฟัน ก็มีประโยชน์กับเราเช่นกัน เรามาลองดูกันนะคะว่า ยาสีฟันใช้ประโยชน์อะไรได้อีกบ้าง • ทำความสะอาด คราบและรอยขีดข่วนบนพื้นผิววัสดุ
• ขัดหน้าปัดนาฬิกา แตะกับเศษผ้าสักหลาดแล้วขัดเบา ๆ
• ช้อน ส้อม สเตนเลส ขัดถูด้วยผ้านุ่ม
• รอยขีดข่วนบนกระจกปูโต๊ะ ป้ายที่รอยแล้วใช้ผ้านุ่มขัดเบา ๆ
• รอยสกปรกบนโต๊ะพลาสติก
• เครื่องประดับเงินแท้ แตะสำลีหรือผ้านุ่ม ๆ ขัดถู
• หัวก็อกน้ำ ใช้เศษยาสีฟันที่ร่วงขณะแปรงฟันขัดถูหัวก็อก จะเงาเป็นประกาย
• บรรเทาอาการแสบร้อน
• โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ หรือน้ำมันจากกระทะกระเด็นใส่ ให้ป้ายยาสีฟันที่แผลจะบรรเทาอาการแสบร้อนได้ (ไม่แนะนำกรณีบาดแผลกว้าง ควรปฐมพยาบาลด้วยการใช้น้ำเย็นจัดราดที่แผลหรือผ้าชุบน้ำเย็นจัดโปะแผล)
• กลบเกลื่อนร่องรอย
• คราบลิปสติกที่ติดเสื้อ ใช้ยาสีฟันทารอยเปื้อนแล้วซักตามปกติ
• กลิ่นแรงที่ติดมือหลังทำครัว อย่างกลิ่นกระเทียม หอม แตะยาสีฟันเล็กน้อยแล้วล้างมือกับสบู่ กลิ่นจะหายไป

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

วิธีการจัดบ้านให้อยู่สบายในทุกหน้าร้อน

1. ให้โครงสร้างบ้านกำหนด ถ้ามีบ้านอยู่แล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะทบรื้อซ่อมไปเป็นจุดๆ แต่สำหรับผู้ที่กำลังซื้อหาหรือสร้างบ้านใหม่ ให้คิดถึงบ้านเก่าๆ สมัยบรรพบุรุษของเราสร้างไว้ได้เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราเช่น มีช่องเปิดมากๆ สำหรับรับลมรับแสง แล้วเราค่อยหาต้นไม้ปลูกโดยรอบอีกทีเพื่อกรองแสงกรองฝุ่น หลังคาควรให้สูงแหลมเพราะกระจายความร้อนได้ดี การทำชายคายาวจะช่วยบังแดดและกันฝนสาดได้ดี การทำหน้าต่างเตี้ยจะช่วยให้ลมพัดผ่านได้ดีกว่าหน้าต่างสูง
2. เลือกวัสดุลดความร้อนพื้น หินอ่อน กระเบื้อง น่าจะเย็นดี แต่ไม่ดีแน่ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาว พื้นไม้ จะให้ความรู้สึกดีกว่า แต่ราคาแพง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ปาร์เกต์ เพราะมีหลายเกรดหลายราคาให้เลือกฉนวนกันความร้อน ควรเลือกใช้มากๆ ใช้บุใต้หลังคาเหนือฝ้าเพดาน จะช่วยดักความร้อนที่ทะลุจากหลังคาสู่ภายในบ้านให้เป็นไปได้ยากขึ้นมวลความร้อนใหญ่ๆ เช่น ผนังคอนกรีต ลานคอนกรีตในสนามและทางเดินในสวน ควรหลีกเลี่ยงการใช้มากที่สุด การปล่อยเป็นพื้นสนามช่วยลดอุณหภูมิพื้นได้ดีกว่ามีคอนกรีตปูนรองรับกระจก วัสดุที่ให้ความรู้สึกของห้องที่กว้าง หรูหรา ควรเลือกกระจกโพลทแบบตัดแสง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแสงและความร้อนที่ผ่านกระจก หรอืแบบสะท้อนแสง Reflective Grass ที่ช่วยสะท้อนแสงและความร้อนไม่ให้เข้าภายในอาคาร
3. ชนิดของเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะทั้งขนาดและชนิดของวัสดุ ถ้ามีขนาดใหญ่ สูง หนาและทึบตัน จะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่บางดีไซด์โปร่งเบา วัสดุหนังจะทำให้รู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศเย็น แต่ไม่สบายตัวกับสภาพอากาศร้อน เช่นเดียวเฟอร์นิเจอร์ผ้าที่ให้ความรู้สึกสบายตา ซับเหงื่อได้ดี แต่เหนียวตัวเหนอะหนะถ้าอากาศร้อน ควรเลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่ผสมผสานเนื้อผ้าแต่เพียงน้อยจะทำให้รู้สึกสบายตัวมากที่สุด
4. การจัดวางข้าวของให้เป็นดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ได้ถ้าไม่ใช้ความละเอียด เช่นการวางตู้สูงปิดบังช่องหน้าต่าง จะทำให้ห้องทึบอึดอัดลมไม่ผ่าน ควรจัดข้าวของให้มีน้อยชิ้นให้เป็นระเบียบ ปล่อยพื้นที่ว่างเยอะๆ อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวก
5. ลองเทคนิคดีๆ ช่วย- ควรทำแหล่งน้ำให้บ้าน ควรเป็นแหล่งน้ำเล็กๆ ก็สามารถช่วยลดความร้อนได้ แต่ถ้าใหญ่เกิน แล้วไม่มีไม้น้ำปกคลุม ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมความร้อนแทน- ติดสปริงเกอร์บนหลังคาบ้าน จะช่วยระบายความร้อนออกไป แต่อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และเปลืองค่าไฟ- ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้ร่มเงา ดูดรับความร้อนแทนบ้านให้ประโยชน์สองทางนอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศร่มเย็นในสวน

เรื่องดี ๆ รอยแผลจากคำพูด

   เด็กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้
เขา 1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า
"ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับ
รั้วหลังบ้าน"
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า เขาเริ่มควบคุมอารมณ์ตนเองได้
บ้างแล้ว
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขา
จึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขาว่า "พ่อ ผมสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว...."
พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า... "ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อดู
สิ โดยทุก ๆ ครั้งที่ สามารถควบคุมตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง"
วันแล้ว วันเล่า... เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว ๆ จาก 1 เป็น 2
จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุด
ตะปูก้อถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ
"พ่อผมทำได้ ในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ ..!!" พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่ได้
จูงมือ ลูกชายไปที่รั้วหลังบ้าน
"เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมันมีรอยตะปูเต็มไป
หมด จำไว้นะลูก
เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูดว่า ขอ โทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับคนคนนั้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

สิวบอกอารมณ์และโรคร้าย

โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง

คำว่า”พร้อม”ในการแต่งงานของผู้หญิง

จากเรื่อง ”ผู้หญิงตัดสินใจแต่งงานจากอะไร”  คราวนี้มาถึงคำว่าพร้อมสำหรับการแต่งงานในมุมมองของคุณผู้หญิงกันดีกว่า หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะแต่งงานกับ ผู้ชายคนหนึ่งแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังมีเรื่องของความพร้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องของความพร้อมก็เป็นอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณาดูในความเป็นจริง เพราะต่อให้คุณรักกันมากแค่ไหนแต่ถ้าเกิดว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะแต่งล่ะ มันมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผล ปัจจัยที่ว่าก็มีตั้งแต่เรื่องของอายุ, ฐานะการเงินส่วนตัว ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะต่างคนต่างก็มีมุมมองที่ต่างกันสำหรับคำว่าพร้อม เรามาดูความคิดเห็นที่ผมไปสำรวจมา ตามนี้เลยครับ มุมมองผู้หญิง
- ถ้าอายุมากขึ้นข้อแม้ต่างๆก็จะลดลง แค่ขอให้เป็นคนที่ใช่
แล้วดูแลกันได้ ฐานะช่วยกันสร้างก็ไม่มีปัญหา - ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวก็จะมองที่ฐานะและความมั่นคง ต่างคนต่างพร้อมและผู้หญิงต้องรู้สึกว่าผู้ชายมั่นคงเพราะหมายถึงคนที่เราจะ อยู่ด้วยทั้งชีวิต อย่างน้อยต่างคนต้องต่างดูแล   ตัวเองได้ (ประมาณว่าไม่ต้องมาดูแลฉัน เอาตัวให้รอดก่อนก็พอ)
- ถ้าคิดจะมีลูก ต้องมีเงินระดับหนึ่ง และมีความพร้อมด้านอื่นที่เพิ่มมากขึ้น  

- บางคนไม่คิดเรื่องแต่งงาน แต่ถ้าจะต้องแต่งก็เพื่อประโยชน์ของลูก แค่มีความพร้อมในระดับนึงแล้วค่อยไปช่วยกันสร้างได้ แต่แต่งไปต้องไม่ลำบาก
 - ความพร้อมด้านความรู้สึก ต้องรู้สึกว่าใช่สำหรับตัวเรา บวกกับปัจจัยรอบตัวที่มีผล ดูว่าผู้ชายมีความเป็นผู้นำมากพอที่จะดูแลเราได้ไหม  

คราวนี้เรามาลองดูผลสำรวจ ผู้หญิงอายุ 25-40 ปี เงินเดือน 10,000 บาทขึ้นไป จำนวน 1000 คน ผลสำรวจเป็นดังนี้ครับ

อายุที่สมควรในการมีครอบครัว                      ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจแต่งงาน
 

26-30 ปี 63%                                          ความพร้อมทางสถานะทางสังคม เช่นตำแหน่งหน้าที่ 28%
31-35 ปี 31%                                          ความพร้อมด้านการเงิน 25%
22-25 ปี  5%                                           ความพร้อมด้านครอบครัวของแต่ละฝ่าย 23%
36-40 ปี 1%                                            ความพร้อมทางด้านอารมณ์ ความรักถึงขีดสุด 18%
                                                                 ความกดดันต่างๆเช่น ครอบครัว คนรอบข้าง สังคม 4%
   

 

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

5 วิธีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความเหงา

ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนขี้เหงา ลองมาดูวิธีแก้ปัญหาความเหงาในเบื้องต้นเหล่านี้ แล้วนำเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงกัน2. โทรศัพท์ และออกไปหาคนที่คุณรู้จัก ลองโทรศัพท์ไปหาคนที่ไม่เคยได้คุยกันเป็นเวลานาน แล้วนัดมาพบกัน คนๆ นั้น อาจจะเป็นเพื่อนของคุณสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หรือเป็นเพื่อนที่เคยร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน หลังจากนั้นจึง หากิจกรรมทำกับกลุ่มเพื่อน เช่นนัดกันไปดูหนัง ไปเที่ยวสวนสนุก เที่ยวสวนสัตว์ หรือดีที่สุด ก็กลับไปเยี่ยมอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ที่คุณเรียนจบมา 4. หากิจกรรมทำแบบง่ายๆ สนุกๆ
เช่น ออกไปเดินเล่นใกล้ๆ บ้าน หรือปั่นจักรยานในวันเสาร์อาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายที่คุณสามารถหาข้อมูลได้ในอินเตอร์เนท ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม การเล่นดนตรีในสวนสาธารณะ กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรมการนัดรวมกลุ่มของแม่บ้านเพื่อทำงานประดิษฐ์ กิจกรรมเรียนตัดผมและออกเป็นอาสาสมัครตัดผมให้เด็กๆ ฟรี กิจกรรมนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรม กิจกรรมอาสาสมัครพัฒนาชุมชน และกิจกรรมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพียงแค่คุณลองหากิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเองดู ก็จะช่วยให้คุณก็จะหายเหงาได้

1. ทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมที่จะเกิดความรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน ดัง นั้น ความเหงาจึงไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติในตัวคุณ มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในช่วงหนึ่งของชีวิต และมันอาจเกิดขึ้นจากกรณีอย่างเช่น คุณเอาใจของตัวคุณเองนั้น ไปผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ( เมื่อใจของคุณ ผูกพันอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของของคุณ ก็จะทำให้คุณรู้สึกเหงานั่นเอง)

3. เปิดเผยตนเอง และรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง คุณอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการพูดสิ่งที่อยู่ในใจคุณออกมา เช่น คุณพบคนๆ หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ คุณที่ป้ายรถเมล์ และกำลังอ่านหนังสือเล่มที่คุณชอบ คุณอาจถามเขาว่า คนเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เขียนงานเล่มอื่นออกมาอีกไหม การได้ทำเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณก็จะได้เพื่อนใหม่ และจำเอาไว้ว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกแย่ หากพูดไปแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา

5. ทำตัวเองให้มีความสุข ด้วยการมีทัศนคติในด้านบวก เพราะทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีค่าให้กับมันอย่างไร จะว่าไปแล้ว เรานั้นก็เกิดมาตัวคนเดียว เวลาที่จากโลกนี้ไป ก็ไปเพียงคนเดียว ดังนั้น ถึงแม้เราต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว ก็ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับความเหงามากนัก เพราะความเหงาจะเข้ามาแย่งพื้นที่ความสุขส่วนหนึ่งของชีวิตเราไป