รักโลกแล้วโลกจะรักเรา
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
ยาสีฟัน ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด
เมื่อพูดถึง "ยาสีฟัน" ทุกคนก็ต้องนึกถึงครีมที่ใช้ทำควาสะอาดฟัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยาสีฟันไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้ฟันขาว สะอาด แข็งแรง อย่างเดียวเท่านั้น แต่ในหลายๆสถานการณ์ ยาสีฟัน ก็มีประโยชน์กับเราเช่นกัน เรามาลองดูกันนะคะว่า ยาสีฟันใช้ประโยชน์อะไรได้อีกบ้าง • ทำความสะอาด คราบและรอยขีดข่วนบนพื้นผิววัสดุ
• ขัดหน้าปัดนาฬิกา แตะกับเศษผ้าสักหลาดแล้วขัดเบา ๆ
• ช้อน ส้อม สเตนเลส ขัดถูด้วยผ้านุ่ม
• รอยขีดข่วนบนกระจกปูโต๊ะ ป้ายที่รอยแล้วใช้ผ้านุ่มขัดเบา ๆ
• รอยสกปรกบนโต๊ะพลาสติก
• เครื่องประดับเงินแท้ แตะสำลีหรือผ้านุ่ม ๆ ขัดถู
• หัวก็อกน้ำ ใช้เศษยาสีฟันที่ร่วงขณะแปรงฟันขัดถูหัวก็อก จะเงาเป็นประกาย
• บรรเทาอาการแสบร้อน
• โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ หรือน้ำมันจากกระทะกระเด็นใส่ ให้ป้ายยาสีฟันที่แผลจะบรรเทาอาการแสบร้อนได้ (ไม่แนะนำกรณีบาดแผลกว้าง ควรปฐมพยาบาลด้วยการใช้น้ำเย็นจัดราดที่แผลหรือผ้าชุบน้ำเย็นจัดโปะแผล)
• กลบเกลื่อนร่องรอย
• คราบลิปสติกที่ติดเสื้อ ใช้ยาสีฟันทารอยเปื้อนแล้วซักตามปกติ
• กลิ่นแรงที่ติดมือหลังทำครัว อย่างกลิ่นกระเทียม หอม แตะยาสีฟันเล็กน้อยแล้วล้างมือกับสบู่ กลิ่นจะหายไป
• ขัดหน้าปัดนาฬิกา แตะกับเศษผ้าสักหลาดแล้วขัดเบา ๆ
• ช้อน ส้อม สเตนเลส ขัดถูด้วยผ้านุ่ม
• รอยขีดข่วนบนกระจกปูโต๊ะ ป้ายที่รอยแล้วใช้ผ้านุ่มขัดเบา ๆ
• รอยสกปรกบนโต๊ะพลาสติก
• เครื่องประดับเงินแท้ แตะสำลีหรือผ้านุ่ม ๆ ขัดถู
• หัวก็อกน้ำ ใช้เศษยาสีฟันที่ร่วงขณะแปรงฟันขัดถูหัวก็อก จะเงาเป็นประกาย
• บรรเทาอาการแสบร้อน
• โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ หรือน้ำมันจากกระทะกระเด็นใส่ ให้ป้ายยาสีฟันที่แผลจะบรรเทาอาการแสบร้อนได้ (ไม่แนะนำกรณีบาดแผลกว้าง ควรปฐมพยาบาลด้วยการใช้น้ำเย็นจัดราดที่แผลหรือผ้าชุบน้ำเย็นจัดโปะแผล)
• กลบเกลื่อนร่องรอย
• คราบลิปสติกที่ติดเสื้อ ใช้ยาสีฟันทารอยเปื้อนแล้วซักตามปกติ
• กลิ่นแรงที่ติดมือหลังทำครัว อย่างกลิ่นกระเทียม หอม แตะยาสีฟันเล็กน้อยแล้วล้างมือกับสบู่ กลิ่นจะหายไป
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
วิธีการจัดบ้านให้อยู่สบายในทุกหน้าร้อน
1. ให้โครงสร้างบ้านกำหนด ถ้ามีบ้านอยู่แล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะทบรื้อซ่อมไปเป็นจุดๆ แต่สำหรับผู้ที่กำลังซื้อหาหรือสร้างบ้านใหม่ ให้คิดถึงบ้านเก่าๆ สมัยบรรพบุรุษของเราสร้างไว้ได้เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราเช่น มีช่องเปิดมากๆ สำหรับรับลมรับแสง แล้วเราค่อยหาต้นไม้ปลูกโดยรอบอีกทีเพื่อกรองแสงกรองฝุ่น หลังคาควรให้สูงแหลมเพราะกระจายความร้อนได้ดี การทำชายคายาวจะช่วยบังแดดและกันฝนสาดได้ดี การทำหน้าต่างเตี้ยจะช่วยให้ลมพัดผ่านได้ดีกว่าหน้าต่างสูง
2. เลือกวัสดุลดความร้อนพื้น หินอ่อน กระเบื้อง น่าจะเย็นดี แต่ไม่ดีแน่ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาว พื้นไม้ จะให้ความรู้สึกดีกว่า แต่ราคาแพง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ปาร์เกต์ เพราะมีหลายเกรดหลายราคาให้เลือกฉนวนกันความร้อน ควรเลือกใช้มากๆ ใช้บุใต้หลังคาเหนือฝ้าเพดาน จะช่วยดักความร้อนที่ทะลุจากหลังคาสู่ภายในบ้านให้เป็นไปได้ยากขึ้นมวลความร้อนใหญ่ๆ เช่น ผนังคอนกรีต ลานคอนกรีตในสนามและทางเดินในสวน ควรหลีกเลี่ยงการใช้มากที่สุด การปล่อยเป็นพื้นสนามช่วยลดอุณหภูมิพื้นได้ดีกว่ามีคอนกรีตปูนรองรับกระจก วัสดุที่ให้ความรู้สึกของห้องที่กว้าง หรูหรา ควรเลือกกระจกโพลทแบบตัดแสง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแสงและความร้อนที่ผ่านกระจก หรอืแบบสะท้อนแสง Reflective Grass ที่ช่วยสะท้อนแสงและความร้อนไม่ให้เข้าภายในอาคาร
3. ชนิดของเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะทั้งขนาดและชนิดของวัสดุ ถ้ามีขนาดใหญ่ สูง หนาและทึบตัน จะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่บางดีไซด์โปร่งเบา วัสดุหนังจะทำให้รู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศเย็น แต่ไม่สบายตัวกับสภาพอากาศร้อน เช่นเดียวเฟอร์นิเจอร์ผ้าที่ให้ความรู้สึกสบายตา ซับเหงื่อได้ดี แต่เหนียวตัวเหนอะหนะถ้าอากาศร้อน ควรเลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่ผสมผสานเนื้อผ้าแต่เพียงน้อยจะทำให้รู้สึกสบายตัวมากที่สุด
4. การจัดวางข้าวของให้เป็นดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ได้ถ้าไม่ใช้ความละเอียด เช่นการวางตู้สูงปิดบังช่องหน้าต่าง จะทำให้ห้องทึบอึดอัดลมไม่ผ่าน ควรจัดข้าวของให้มีน้อยชิ้นให้เป็นระเบียบ ปล่อยพื้นที่ว่างเยอะๆ อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวก
5. ลองเทคนิคดีๆ ช่วย- ควรทำแหล่งน้ำให้บ้าน ควรเป็นแหล่งน้ำเล็กๆ ก็สามารถช่วยลดความร้อนได้ แต่ถ้าใหญ่เกิน แล้วไม่มีไม้น้ำปกคลุม ก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมความร้อนแทน- ติดสปริงเกอร์บนหลังคาบ้าน จะช่วยระบายความร้อนออกไป แต่อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และเปลืองค่าไฟ- ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้ร่มเงา ดูดรับความร้อนแทนบ้านให้ประโยชน์สองทางนอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศร่มเย็นในสวน
เรื่องดี ๆ รอยแผลจากคำพูด
เด็กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้
เขา 1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า
"ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับ
รั้วหลังบ้าน"
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า เขาเริ่มควบคุมอารมณ์ตนเองได้
บ้างแล้ว
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขา
จึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขาว่า "พ่อ ผมสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว...." พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า... "ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อดู
สิ โดยทุก ๆ ครั้งที่ สามารถควบคุมตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" วันแล้ว วันเล่า... เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว ๆ จาก 1 เป็น 2
จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุด
ตะปูก้อถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ "พ่อผมทำได้ ในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ ..!!" พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่ได้
จูงมือ ลูกชายไปที่รั้วหลังบ้าน
"เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมันมีรอยตะปูเต็มไป
หมด จำไว้นะลูก
เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูดว่า ขอ โทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับคนคนนั้นได้
เขา 1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า
"ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับ
รั้วหลังบ้าน"
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว
และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า เขาเริ่มควบคุมอารมณ์ตนเองได้
บ้างแล้ว
และแล้ว หลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขา
จึงเข้าไปพบกับพ่อ
และบอกกับพ่อของเขาว่า "พ่อ ผมสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว...." พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า... "ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อดู
สิ โดยทุก ๆ ครั้งที่ สามารถควบคุมตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" วันแล้ว วันเล่า... เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปูออก ทีละตัว ๆ จาก 1 เป็น 2
จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุด
ตะปูก้อถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ "พ่อผมทำได้ ในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ ..!!" พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่ได้
จูงมือ ลูกชายไปที่รั้วหลังบ้าน
"เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมันมีรอยตะปูเต็มไป
หมด จำไว้นะลูก
เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูดว่า ขอ โทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับคนคนนั้นได้
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
สิวบอกอารมณ์และโรคร้าย
โซนที่ 1 และโซนที่ 3 ถ้ามีปัญหาสิวบริเวณนี้ คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นอาจต้องดื่มน้ำมากขึ้นหรือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง
โซนที่ 2 สิวบริเวณหว่างคิ้ว เกี่ยวกับตับ อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส (ดื่มนมไม่ได้) การทานอาหารรสจัดหรือทานอาหารดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10 ผิวบริเวณหูนี้เป็นผลพวงของไต หากรู้สึกร้อนที่หู คุณอาจต้องลดการรับประทานเนื้อสัตว์ลง
โซนที่ 5 และโซนที่ 9 บริเวณแก้มทั้งสองด้าน โดยแก้มส่วนบนจะเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด ส่วนแก้มส่วนล่าง เหงือกและฟัน สาเหตุอาจเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด หรือแพ้ ควันบุหรี่ ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด
โซนที่ 6 และโซนที่ 8 ตำแหน่งรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับไต และปัญหาภูมิแพ้ สาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ อาจไม่เหมาะสม หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคือง อาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร
โซนที่ 7 ผิวบริเวณจมูกและริมฝีปาก แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากมีสิวบริเวณนี้อาจหมายถึงผลกระทบของการตั้งครรภ์ การมีประจำเดือน การรับประทานยาคุมกำเนิด
โซนที่ 11 และโซนที่ 13 หากผิวบริเวณนี้แตกระแหง สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาของฟันกราม หรือปัญหาเกี่ยวกับฟัน
โซนที่ 12 สิวเรื่อๆ บริเวณคางนี้ สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องลำไส้เล็ก ที่มีผลจากการรับประทานของเผ็ด
โซนสุดท้ายโซนที่ 14 หากคุณมีสิวบริเวณนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณกำลังเครียดสูง
คำว่า”พร้อม”ในการแต่งงานของผู้หญิง
จากเรื่อง ”ผู้หญิงตัดสินใจแต่งงานจากอะไร” คราวนี้มาถึงคำว่าพร้อมสำหรับการแต่งงานในมุมมองของคุณผู้หญิงกันดีกว่า หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะแต่งงานกับ ผู้ชายคนหนึ่งแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังมีเรื่องของความพร้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องของความพร้อมก็เป็นอีกเรื่องที่จะต้องพิจารณาดูในความเป็นจริง เพราะต่อให้คุณรักกันมากแค่ไหนแต่ถ้าเกิดว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะแต่งล่ะ มันมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผล ปัจจัยที่ว่าก็มีตั้งแต่เรื่องของอายุ, ฐานะการเงินส่วนตัว ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะต่างคนต่างก็มีมุมมองที่ต่างกันสำหรับคำว่าพร้อม เรามาดูความคิดเห็นที่ผมไปสำรวจมา ตามนี้เลยครับ มุมมองผู้หญิง
- ถ้าอายุมากขึ้นข้อแม้ต่างๆก็จะลดลง แค่ขอให้เป็นคนที่ใช่แล้วดูแลกันได้ ฐานะช่วยกันสร้างก็ไม่มีปัญหา - ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวก็จะมองที่ฐานะและความมั่นคง ต่างคนต่างพร้อมและผู้หญิงต้องรู้สึกว่าผู้ชายมั่นคงเพราะหมายถึงคนที่เราจะ อยู่ด้วยทั้งชีวิต อย่างน้อยต่างคนต้องต่างดูแล ตัวเองได้ (ประมาณว่าไม่ต้องมาดูแลฉัน เอาตัวให้รอดก่อนก็พอ)
- ถ้าคิดจะมีลูก ต้องมีเงินระดับหนึ่ง และมีความพร้อมด้านอื่นที่เพิ่มมากขึ้น
- บางคนไม่คิดเรื่องแต่งงาน แต่ถ้าจะต้องแต่งก็เพื่อประโยชน์ของลูก แค่มีความพร้อมในระดับนึงแล้วค่อยไปช่วยกันสร้างได้ แต่แต่งไปต้องไม่ลำบาก - ความพร้อมด้านความรู้สึก ต้องรู้สึกว่าใช่สำหรับตัวเรา บวกกับปัจจัยรอบตัวที่มีผล ดูว่าผู้ชายมีความเป็นผู้นำมากพอที่จะดูแลเราได้ไหม
คราวนี้เรามาลองดูผลสำรวจ ผู้หญิงอายุ 25-40 ปี เงินเดือน 10,000 บาทขึ้นไป จำนวน 1000 คน ผลสำรวจเป็นดังนี้ครับ
อายุที่สมควรในการมีครอบครัว ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจแต่งงาน
26-30 ปี 63% ความพร้อมทางสถานะทางสังคม เช่นตำแหน่งหน้าที่ 28%
31-35 ปี 31% ความพร้อมด้านการเงิน 25%
22-25 ปี 5% ความพร้อมด้านครอบครัวของแต่ละฝ่าย 23%
36-40 ปี 1% ความพร้อมทางด้านอารมณ์ ความรักถึงขีดสุด 18%
ความกดดันต่างๆเช่น ครอบครัว คนรอบข้าง สังคม 4%
- ถ้าอายุมากขึ้นข้อแม้ต่างๆก็จะลดลง แค่ขอให้เป็นคนที่ใช่แล้วดูแลกันได้ ฐานะช่วยกันสร้างก็ไม่มีปัญหา - ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวก็จะมองที่ฐานะและความมั่นคง ต่างคนต่างพร้อมและผู้หญิงต้องรู้สึกว่าผู้ชายมั่นคงเพราะหมายถึงคนที่เราจะ อยู่ด้วยทั้งชีวิต อย่างน้อยต่างคนต้องต่างดูแล ตัวเองได้ (ประมาณว่าไม่ต้องมาดูแลฉัน เอาตัวให้รอดก่อนก็พอ)
- ถ้าคิดจะมีลูก ต้องมีเงินระดับหนึ่ง และมีความพร้อมด้านอื่นที่เพิ่มมากขึ้น
- บางคนไม่คิดเรื่องแต่งงาน แต่ถ้าจะต้องแต่งก็เพื่อประโยชน์ของลูก แค่มีความพร้อมในระดับนึงแล้วค่อยไปช่วยกันสร้างได้ แต่แต่งไปต้องไม่ลำบาก - ความพร้อมด้านความรู้สึก ต้องรู้สึกว่าใช่สำหรับตัวเรา บวกกับปัจจัยรอบตัวที่มีผล ดูว่าผู้ชายมีความเป็นผู้นำมากพอที่จะดูแลเราได้ไหม
คราวนี้เรามาลองดูผลสำรวจ ผู้หญิงอายุ 25-40 ปี เงินเดือน 10,000 บาทขึ้นไป จำนวน 1000 คน ผลสำรวจเป็นดังนี้ครับ
อายุที่สมควรในการมีครอบครัว ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจแต่งงาน
26-30 ปี 63% ความพร้อมทางสถานะทางสังคม เช่นตำแหน่งหน้าที่ 28%
31-35 ปี 31% ความพร้อมด้านการเงิน 25%
22-25 ปี 5% ความพร้อมด้านครอบครัวของแต่ละฝ่าย 23%
36-40 ปี 1% ความพร้อมทางด้านอารมณ์ ความรักถึงขีดสุด 18%
ความกดดันต่างๆเช่น ครอบครัว คนรอบข้าง สังคม 4%
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554
5 วิธีที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความเหงา
ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนขี้เหงา ลองมาดูวิธีแก้ปัญหาความเหงาในเบื้องต้นเหล่านี้ แล้วนำเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงกัน2. โทรศัพท์ และออกไปหาคนที่คุณรู้จัก ลองโทรศัพท์ไปหาคนที่ไม่เคยได้คุยกันเป็นเวลานาน แล้วนัดมาพบกัน คนๆ นั้น อาจจะเป็นเพื่อนของคุณสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หรือเป็นเพื่อนที่เคยร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน หลังจากนั้นจึง หากิจกรรมทำกับกลุ่มเพื่อน เช่นนัดกันไปดูหนัง ไปเที่ยวสวนสนุก เที่ยวสวนสัตว์ หรือดีที่สุด ก็กลับไปเยี่ยมอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ที่คุณเรียนจบมา 4. หากิจกรรมทำแบบง่ายๆ สนุกๆ
เช่น ออกไปเดินเล่นใกล้ๆ บ้าน หรือปั่นจักรยานในวันเสาร์อาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายที่คุณสามารถหาข้อมูลได้ในอินเตอร์เนท ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม การเล่นดนตรีในสวนสาธารณะ กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรมการนัดรวมกลุ่มของแม่บ้านเพื่อทำงานประดิษฐ์ กิจกรรมเรียนตัดผมและออกเป็นอาสาสมัครตัดผมให้เด็กๆ ฟรี กิจกรรมนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรม กิจกรรมอาสาสมัครพัฒนาชุมชน และกิจกรรมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพียงแค่คุณลองหากิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเองดู ก็จะช่วยให้คุณก็จะหายเหงาได้
1. ทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมที่จะเกิดความรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน ดัง นั้น ความเหงาจึงไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติในตัวคุณ มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในช่วงหนึ่งของชีวิต และมันอาจเกิดขึ้นจากกรณีอย่างเช่น คุณเอาใจของตัวคุณเองนั้น ไปผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ( เมื่อใจของคุณ ผูกพันอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของของคุณ ก็จะทำให้คุณรู้สึกเหงานั่นเอง)
3. เปิดเผยตนเอง และรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง คุณอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการพูดสิ่งที่อยู่ในใจคุณออกมา เช่น คุณพบคนๆ หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ คุณที่ป้ายรถเมล์ และกำลังอ่านหนังสือเล่มที่คุณชอบ คุณอาจถามเขาว่า คนเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เขียนงานเล่มอื่นออกมาอีกไหม การได้ทำเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณก็จะได้เพื่อนใหม่ และจำเอาไว้ว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกแย่ หากพูดไปแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา
5. ทำตัวเองให้มีความสุข ด้วยการมีทัศนคติในด้านบวก เพราะทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีค่าให้กับมันอย่างไร จะว่าไปแล้ว เรานั้นก็เกิดมาตัวคนเดียว เวลาที่จากโลกนี้ไป ก็ไปเพียงคนเดียว ดังนั้น ถึงแม้เราต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว ก็ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับความเหงามากนัก เพราะความเหงาจะเข้ามาแย่งพื้นที่ความสุขส่วนหนึ่งของชีวิตเราไป
เช่น ออกไปเดินเล่นใกล้ๆ บ้าน หรือปั่นจักรยานในวันเสาร์อาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมายที่คุณสามารถหาข้อมูลได้ในอินเตอร์เนท ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม การเล่นดนตรีในสวนสาธารณะ กิจกรรมการออกกำลังกาย กิจกรรมการนัดรวมกลุ่มของแม่บ้านเพื่อทำงานประดิษฐ์ กิจกรรมเรียนตัดผมและออกเป็นอาสาสมัครตัดผมให้เด็กๆ ฟรี กิจกรรมนั่งสมาธิและปฏิบัติธรรม กิจกรรมอาสาสมัครพัฒนาชุมชน และกิจกรรมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพียงแค่คุณลองหากิจกรรมที่เหมาะสมกับตัวเองดู ก็จะช่วยให้คุณก็จะหายเหงาได้
1. ทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ย่อมที่จะเกิดความรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน ดัง นั้น ความเหงาจึงไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติในตัวคุณ มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงในช่วงหนึ่งของชีวิต และมันอาจเกิดขึ้นจากกรณีอย่างเช่น คุณเอาใจของตัวคุณเองนั้น ไปผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ( เมื่อใจของคุณ ผูกพันอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ของของคุณ ก็จะทำให้คุณรู้สึกเหงานั่นเอง)
3. เปิดเผยตนเอง และรู้จักสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง คุณอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการพูดสิ่งที่อยู่ในใจคุณออกมา เช่น คุณพบคนๆ หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ คุณที่ป้ายรถเมล์ และกำลังอ่านหนังสือเล่มที่คุณชอบ คุณอาจถามเขาว่า คนเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้เขียนงานเล่มอื่นออกมาอีกไหม การได้ทำเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณก็จะได้เพื่อนใหม่ และจำเอาไว้ว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกแย่ หากพูดไปแล้วไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา
5. ทำตัวเองให้มีความสุข ด้วยการมีทัศนคติในด้านบวก เพราะทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีค่าให้กับมันอย่างไร จะว่าไปแล้ว เรานั้นก็เกิดมาตัวคนเดียว เวลาที่จากโลกนี้ไป ก็ไปเพียงคนเดียว ดังนั้น ถึงแม้เราต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว ก็ไม่ควรจะเสียเวลาไปกับความเหงามากนัก เพราะความเหงาจะเข้ามาแย่งพื้นที่ความสุขส่วนหนึ่งของชีวิตเราไป
ยาคุมกำเนิด "ทำให้ผู้หญิงขี้หึงขึ้น"
ฮอร์โมนในยาบางชนิดนั้นสามารถทำให้คุณผู้หญิงมีความรู้สึกและอารมย์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการรับประทานยาคุมกำเนิดนั้น มีแนวโน้มที่จะมีอารมย์ขี้หึงและอยากครอบครองแสดงความเป็นเจ้าของ จากการนำเสนอข่าวของ Telegraph
ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงนั้นจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ในระหว่างอยู่กับคู่รัก จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเตอริงที่นักวิจัย แครงจ์ โรเบิร์ต ได้สำรวจผู้หญิง 275 คน เกี่ยวกับความรู้สึกของหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดว่ามีความไว้ใจคู่รักของตนมากแค่ไหน
ในยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จะให้ผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกอยากครอบครองของผู้หญิงมากกว่ายาคุมกำเนิดประเภทที่มีฮอร์โมนโพรเกรสเทอโรน ที่ให้ผลกระทบน้อยกว่า
ปัจจุบันหนึ่งใน 4 ของผู้หญิงอายุระหว่าง 16 - 49 ปี จำนวน 3.5 ล้านคน รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งนักวิจัยมีความเห็นว่า ผู้หญิงยังไม่ค่อยใส่ใจในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในการรับประทานยาคุมเนิดมากนัก
ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงนั้นจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ในระหว่างอยู่กับคู่รัก จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเตอริงที่นักวิจัย แครงจ์ โรเบิร์ต ได้สำรวจผู้หญิง 275 คน เกี่ยวกับความรู้สึกของหญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดว่ามีความไว้ใจคู่รักของตนมากแค่ไหน
ในยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จะให้ผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกอยากครอบครองของผู้หญิงมากกว่ายาคุมกำเนิดประเภทที่มีฮอร์โมนโพรเกรสเทอโรน ที่ให้ผลกระทบน้อยกว่า
ปัจจุบันหนึ่งใน 4 ของผู้หญิงอายุระหว่าง 16 - 49 ปี จำนวน 3.5 ล้านคน รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งนักวิจัยมีความเห็นว่า ผู้หญิงยังไม่ค่อยใส่ใจในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในการรับประทานยาคุมเนิดมากนัก
แพทย์ทั่วโลกเตือน "มอยเจอร์ไรเซอร์" เสี่ยงก่อภูมิแพ้
แพทย์จากทั่วโลก ห่วงผู้บริโภคใช้ครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ปรุงแต่งสารธรรมชาติ อาจเสี่ยงเป็นภูมิแพ้รุนแรงในผิวหลังและระบบทางเดินหายใจ
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า จากการเข้าร่วมประชุมโรคภูมิแพ้ของ American Academy Allergy Immunology รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ประเด็นที่แพทย์รักษาโรคภูมิแพ้ กำลังให้ความสนใจคือ เรื่องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้น ที่พบว่าปัจจุบันมีผู้ประกอบการเติมสารปรุงแต่งต่างๆ โดยประชาสัมพันธ์ว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อชี้ชวนให้ผู้บริโภคอยากจะซื้อใช้ ประกอบกับเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์ประเทืองความงาม จะนิยมผสมสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากพรรณพืชนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็ทั้งดอก ใบ กลิ่น จากต้นไม้ต่างๆ แต่ข้อมูลล่าสุดพบว่า การเพิ่มส่วนผสมเหล่านี้เข้าไป ไม่มีประโยชน์หรือความจำเป็นแต่อย่างใดต่อผู้บริโภคเลย แต่ยังอาจก่อให้เกิดโทษที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า อาการที่แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังขึ้น คือ ผิวแห้ง และคัน ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังอยู่แล้ว จะมีรอยแตกเล็กๆ จากการเกา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเมื่อใช้โลชั่นที่ผสมสารสกัดจากธรรมชาติ จะทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ที่ผิวหนังอยู่แล้ว ได้รับการกระตุ้นให้ให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้เพิ่มขึ้น เช่น ผู้ที่มีอาการแพ้ที่ผิวหนังเมื่อทาโลชั่น ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง อาจส่งผลให้แพ้ถั่วเหลือง ไม่สามารถรับประทานถั่วเหลืองได้
ดังนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหาซื้อโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่มีส่วนผสมใดๆ อยู่ และควรอ่านอ่านส่วนประกอบของโลชั่นก่อนการใช้งานเสมอ และไม่ควรให้ส่วนผสมในโลชั่น มีน้ำหอม มีสี หรือสารกันเสียที่รู้จักในชื่อ พาราเบน ไม่ควรมีสิ่งปรุงแต่งเกินความจำเป็น แม้กระทั่งสารนั้นจะเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติก็ตาม
ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการแพ้โลชั่น ซึ่งผสมสารที่สกัดจากธรรมชาติ จะแสดงอาการใน 5 อวัยวะ ดังนี้
1. จมูก ผู้ป่วยจะมีอาการ แพ้อากาศ
2. หลอดลม ผู้ป่วยมีอาการหอบหืด
3.ผิวหนัง ผู้ป่วยมีอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนังหรือลมพิษ
4. ทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้อาหารแพ้ยา
5.เยื่อบุตา ผู้ป่วยมีอาการโรคภูมิแพ้ที่ตา
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า จากการเข้าร่วมประชุมโรคภูมิแพ้ของ American Academy Allergy Immunology รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ประเด็นที่แพทย์รักษาโรคภูมิแพ้ กำลังให้ความสนใจคือ เรื่องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้น ที่พบว่าปัจจุบันมีผู้ประกอบการเติมสารปรุงแต่งต่างๆ โดยประชาสัมพันธ์ว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อชี้ชวนให้ผู้บริโภคอยากจะซื้อใช้ ประกอบกับเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์ประเทืองความงาม จะนิยมผสมสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากพรรณพืชนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็ทั้งดอก ใบ กลิ่น จากต้นไม้ต่างๆ แต่ข้อมูลล่าสุดพบว่า การเพิ่มส่วนผสมเหล่านี้เข้าไป ไม่มีประโยชน์หรือความจำเป็นแต่อย่างใดต่อผู้บริโภคเลย แต่ยังอาจก่อให้เกิดโทษที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า อาการที่แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังขึ้น คือ ผิวแห้ง และคัน ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังอยู่แล้ว จะมีรอยแตกเล็กๆ จากการเกา ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเมื่อใช้โลชั่นที่ผสมสารสกัดจากธรรมชาติ จะทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ที่ผิวหนังอยู่แล้ว ได้รับการกระตุ้นให้ให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้เพิ่มขึ้น เช่น ผู้ที่มีอาการแพ้ที่ผิวหนังเมื่อทาโลชั่น ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง อาจส่งผลให้แพ้ถั่วเหลือง ไม่สามารถรับประทานถั่วเหลืองได้
ดังนั้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหาซื้อโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่มีส่วนผสมใดๆ อยู่ และควรอ่านอ่านส่วนประกอบของโลชั่นก่อนการใช้งานเสมอ และไม่ควรให้ส่วนผสมในโลชั่น มีน้ำหอม มีสี หรือสารกันเสียที่รู้จักในชื่อ พาราเบน ไม่ควรมีสิ่งปรุงแต่งเกินความจำเป็น แม้กระทั่งสารนั้นจะเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติก็ตาม
ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากการแพ้โลชั่น ซึ่งผสมสารที่สกัดจากธรรมชาติ จะแสดงอาการใน 5 อวัยวะ ดังนี้
1. จมูก ผู้ป่วยจะมีอาการ แพ้อากาศ
2. หลอดลม ผู้ป่วยมีอาการหอบหืด
3.ผิวหนัง ผู้ป่วยมีอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนังหรือลมพิษ
4. ทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้อาหารแพ้ยา
5.เยื่อบุตา ผู้ป่วยมีอาการโรคภูมิแพ้ที่ตา
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554
คำจำกัดความของเกรด ขำขัน^^
A = animal สมองน้อย
อันเกรด A เขาว่าเหมือนเช่นสัดว์
วันๆ ฟัดแต่ตำราน่าอดสู
A Animal สมองน้อยหงอยน่าดู
สงสัยครู ให้ได้ไง ไม่ค่อยเจอ
B = basic ก็แค่พื้นๆ
B Basic ใครๆก็ทำได้
เพราะมันง่ายกันไปจนน่าขำ
คนว่า"เบ" เกินไปเลยไม่ทำ
กลัวตอกย้ำความเบสิกสะกิดใจ
อันเกรด A เขาว่าเหมือนเช่นสัดว์
วันๆ ฟัดแต่ตำราน่าอดสู
A Animal สมองน้อยหงอยน่าดู
สงสัยครู ให้ได้ไง ไม่ค่อยเจอ
B = basic ก็แค่พื้นๆ
B Basic ใครๆก็ทำได้
เพราะมันง่ายกันไปจนน่าขำ
คนว่า"เบ" เกินไปเลยไม่ทำ
กลัวตอกย้ำความเบสิกสะกิดใจ
C = common ธรรมดา งั้นๆ
C Common แบบนี้สิใช้ได้
คนทั่วไปยอมรับและนับถือ
เกรดแบบนี้ได้มาเรียก "ฝีมือ"
แต่ก็ถือว่ายังอ่อนเกินไป
D = diligent ฉลาด หลักแหลม
D Deligent เกรดสุดฮิตของคนขยัน
ฟิตทั้งวันแต่เลคเชอร์ไม่เคยสน
conc. วิชา จีบสาว ม่อเกินทน
สุดยอดคน นายเยี่ยมมาก พูดจากใจ
F = fever เก่งจนเกิดกระแสความดัง
เกรดใดๆไม่เท่า F Fever
ได้กันเกร่อรู้ทั่วถึงไหนๆ
ใครได้มา ก็ Fever น่าชื่นใจ
แล้วค่อยไป เรียนซัมเมอร์ ด้วยกันเอย.
โกรธง่ายอาจตายเร็ว เรียกโรคหัวใจเข้ามาสู่ตัว
นักวิจัยสหรัฐฯ เตือนผู้ที่โกรธง่ายหรือเจ้าวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นโรคอันเกิดจากการอักเสบ เช่น โรคของหัวใจและหลอดเลือด ง่ายกว่าผู้อื่น
นักวิจัยได้ศึกษากับอาสาสมัครวัยกลางคน โดยให้พูดต่อหน้ากล้องถ่ายวีดิโอและคณะผู้ตัดสิน พร้อมกับคอยตรวจวัดอาการทางร่างกาย และสอบถามถึงอารมณ์ระหว่างนั้น
นักวิจัยเผยว่า "หัวใจเกือบทุกคนเมื่อพูดเสร็จ จะเต้นแรงขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ซ้ำบางคนยังส่อว่ามีการอักเสบของโลหิตที่หมุนเวียนอยู่ด้วย" อาการอักเสบแสดงให้รู้ว่า เซลล์โลหิตขาวของร่างกายได้ ต่อสู้ป้องกันสารแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียและไวรัสต่างๆ อยู่
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาและการพยาบาล หมอแอนนา มาร์สแลนด์ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก กล่าวว่า "ผู้ที่มีความโกรธหรือวิตกกังวล เมื่อเผชิญกับเรื่องไม่สบายใจเล็กน้อย มักจะเกิดมีอาการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ผู้เกิดอารมณ์เหล่านี้ล่อแหลมกับโรคที่เกิดจากการอักเสบ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด"
นักวิจัยได้ศึกษากับอาสาสมัครวัยกลางคน โดยให้พูดต่อหน้ากล้องถ่ายวีดิโอและคณะผู้ตัดสิน พร้อมกับคอยตรวจวัดอาการทางร่างกาย และสอบถามถึงอารมณ์ระหว่างนั้น
นักวิจัยเผยว่า "หัวใจเกือบทุกคนเมื่อพูดเสร็จ จะเต้นแรงขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ซ้ำบางคนยังส่อว่ามีการอักเสบของโลหิตที่หมุนเวียนอยู่ด้วย" อาการอักเสบแสดงให้รู้ว่า เซลล์โลหิตขาวของร่างกายได้ ต่อสู้ป้องกันสารแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียและไวรัสต่างๆ อยู่
ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาและการพยาบาล หมอแอนนา มาร์สแลนด์ มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก กล่าวว่า "ผู้ที่มีความโกรธหรือวิตกกังวล เมื่อเผชิญกับเรื่องไม่สบายใจเล็กน้อย มักจะเกิดมีอาการอักเสบ ซึ่งอาจทำให้ผู้เกิดอารมณ์เหล่านี้ล่อแหลมกับโรคที่เกิดจากการอักเสบ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด"
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554
หิ่งห้อยมีแสงได้อย่างไร
หิ่งห้อย เป็นแมลงชนิดหนึ่งที่สามารถผลิตแสงได้ด้วยตนเอง พบเห็นได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย มีขนาดตั้งแต่ 2 มิลลิเมตร ไปจนถึง 10 เซนติเมตร สีของแสงหิ่งห้อยที่พบในไทยจะเป็นสีเหลืองและน้ำตาล มันมีอายุขัยประมาณ 1 เดือน แสงที่หิ่งห้อยเปล่งออกมาเป็นพลังงานแสงร้อยละ 90 อีกร้อยละ 10 เป็นพลังงานความร้อนการที่หิ่งห้อยเรืองแสงได้ เพราะเซลส์จากอวัยวะการสร้างแสงของหิ่งห้อยจะผลิตสารสีขาวที่ชื่อว่า ลูซิเฟอริน (Luciferin) จากนั้นหิ่งห้อยจะควบคุมการเปล่งแสง โดยบังคับอากาศที่ได้จากการหายใจเข้าไป เมื่ออ๊อกซิเจนในอากาศสัมผัสกับสารลูซิเฟอริน และทำปฏิกิริยากับเอมไซม์ชื่อ Luciferase หิ่งห้อยก็จะปล่อยพลังงานออกมาเป็นแสงได้ ฉะนั้นแสงจะสว่างหรือดับจึงขึ้นอยู่กับการหายใจของหิ่งห้อยนั่นเอง หิ่งห้อยไม่ได้เปล่งแสงเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณเพื่อการหาคู่ ซึ่งหิ่งห้อยแต่ละชนิดจะมีจังหวะการกระพริบแสงที่แตกต่างกัน ฉะนั้นหิ่งห้อยแต่ละชนิดจึงจดจำการกระพริบแสงของพวกเดียวกันได้ จึงทำให้เกิดการผสมพันธุ์ที่ถูกกับชนิดของหิ่งห้อยนั้น ๆ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปจับมันมากักขังไว้ล่ะ มันไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับธรรมชาติหรอก
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปจับมันมากักขังไว้ล่ะ มันไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับธรรมชาติหรอก
เช็กสุขภาพ 'หัวใจ' ที่ 'เส้นรอบเอว'
เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคหัวใจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการอาทิ การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ฯลฯแต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า วิธีการง่ายๆที่จะสามารถเช็คความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ ก็คือการวัดเส้นรอบเอวของเรานี่เอง
ศ.น.พ.ปิยะมิตร ศรีธรา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจเข้ารับการรักษาปีละกว่า 60,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนถึง 50% ทั้งนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
เวลานี้มีข้อมูลใหม่ระบุว่า การมีเอวใหญ่จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเกิดขึ้นทันที!เพราะเส้นรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงปริมาณไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าตัวแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เอวของเราใหญ่เกินไปหรือไม่...
วิธีคำนวณแบบง่ายๆ ก็คือเอาความสูงของตัวเองมาหาร 2 ถ้าผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่าเส้นรอบเอว ก็ถือว่าเป็นคนมีเอวใหญ่แล้ว สาเหตุหลักของเอวใหญ่ขึ้น มาจากพฤติกรรมการรับประทาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป หลายคนอาจระวังเรื่องการรับประทานอาหารเหล่านี้ แต่หลงลืมไปหรือไม่ว่า น้ำตาลแฝงอยู่ในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่มและผลไม้บางชนิด
สำหรับน้ำมันซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นสาเหตุหลัก แต่มีน้ำมันหลายชนิดที่เราบริโภคได้ โดยเฉพาะน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่สูง เช่น น้ำมันงาน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโบนาล่าฯลฯ ซึ่งน้ำมันเหล่านี้มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่วนน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าวกลั่นเย็นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ถือว่ายังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้ว่า การทานน้ำมันชนิดนี้แล้วจะดีต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรพิจารณาให้รอบคอบในการเลือกซื้อ
ที่สำคัญ...ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพราะเอวที่สมส่วน...จะสัมพันธ์กับหัวใจที่แข็งแรง !เพราะเส้นรอบเอวที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายถึงไขมันในช่องท้องมีมากขึ้นซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าปกติถึง 2 เท่า
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554
1.คนที่ยากจนที่สุดในโลกนี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงิน แต่คือคนที่ไม่มีฝัน
2.เราสามารถวัดขนาดของบุคคลได้ด้วยขนาดของความฝันของเขา
3.ใครก้อตามที่รู้จักฝัน ก้อไม่มีที่แห่งไหนที่เขาไปไม่ถึง
4.อย่าปล่อยให้ความผิดหวังวันวานมาบดบังความฝันของวันนี้
5.คนเรามักไม่สังเกตสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่จะสังเกตเห็นแต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
6.เราจะเห็นอุปสรรคที่น่ากัวทันที ก้อต่อเมื่อเราละสายตาจากเป้าหมายของเรา
7.ตัวตนเหมือนต้นไม้ ชื่อเสียงเหมือนเงา เงาก้อแค่สิ่งที่เราคิด แต่ต้นไม้ต่างหากคือตัวจริงของเรา
8.คนยิ่งใหญ่จะพูดถ่อมตัว แต่ลงมือกระทำเกินตัว
9.ไม่ใช่คนที่ประสบสำเร็จทุกคนจะเป็นพ่อที่ดีได้ แต่พ่อที่ดีทุกคนคือคนที่ประสบความสำเร็จ
10.เรื่องน่าเศร้าของชีวิตไม่ได้หมายถึงชีวิตไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่หมายถึงการไม่มีเป้าหมายให้ชีวิตไปถึง11.สิ่งที่เราเพื่อตัวเองจะตายไปพร้อมกับเรา แต่สิ่งที่เราทำให้ผู้อื่นจะคงอยู่และไม่มีวันตาย
12.ความสำเร็จไม่เคยโน้มตัวลงมาหาเรา แต่ราต้องเขย่งตัวขึ้นไปหาความสำเร็จ
13.การคุยกันไม่ด้ทำให้ข้าวสุก (สุภาษิตจีน)
14.บังคับจิตใจตนเองให้ได้ และจิตใจจะบังคับร่างกายคุณเอง15.ต่อเมื่อบ่อน้ำแห้ง เราจึงรู้คุณค่าของน้ำ
16.คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ก่อตั้งบริษัทที่มั่นคง ด้วยอิฐที่คนอื่นยื่นให้เขา
2.เราสามารถวัดขนาดของบุคคลได้ด้วยขนาดของความฝันของเขา
3.ใครก้อตามที่รู้จักฝัน ก้อไม่มีที่แห่งไหนที่เขาไปไม่ถึง
4.อย่าปล่อยให้ความผิดหวังวันวานมาบดบังความฝันของวันนี้
5.คนเรามักไม่สังเกตสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่จะสังเกตเห็นแต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
6.เราจะเห็นอุปสรรคที่น่ากัวทันที ก้อต่อเมื่อเราละสายตาจากเป้าหมายของเรา
7.ตัวตนเหมือนต้นไม้ ชื่อเสียงเหมือนเงา เงาก้อแค่สิ่งที่เราคิด แต่ต้นไม้ต่างหากคือตัวจริงของเรา
8.คนยิ่งใหญ่จะพูดถ่อมตัว แต่ลงมือกระทำเกินตัว
9.ไม่ใช่คนที่ประสบสำเร็จทุกคนจะเป็นพ่อที่ดีได้ แต่พ่อที่ดีทุกคนคือคนที่ประสบความสำเร็จ
10.เรื่องน่าเศร้าของชีวิตไม่ได้หมายถึงชีวิตไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่หมายถึงการไม่มีเป้าหมายให้ชีวิตไปถึง11.สิ่งที่เราเพื่อตัวเองจะตายไปพร้อมกับเรา แต่สิ่งที่เราทำให้ผู้อื่นจะคงอยู่และไม่มีวันตาย
12.ความสำเร็จไม่เคยโน้มตัวลงมาหาเรา แต่ราต้องเขย่งตัวขึ้นไปหาความสำเร็จ
13.การคุยกันไม่ด้ทำให้ข้าวสุก (สุภาษิตจีน)
14.บังคับจิตใจตนเองให้ได้ และจิตใจจะบังคับร่างกายคุณเอง15.ต่อเมื่อบ่อน้ำแห้ง เราจึงรู้คุณค่าของน้ำ
16.คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ก่อตั้งบริษัทที่มั่นคง ด้วยอิฐที่คนอื่นยื่นให้เขา
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
ทำใจให้เหมือนกระจก
กระจก.....ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิดฉันใด
จิตใจ......จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง
ดังนั้น......จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือหรืออยู่ในกระจก
สายฝน.....ในกระจก หาเปียกกระจกไม่
เปลวไฟ.....ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน
ทั้งนี้.........เพราะกระจกไม่ได้ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ
ดัง นั้น......จงทำใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก อย่ายึดติด เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น
นี่ คือมรรควิธีแห่งการเพ่งพิจารณาและรับรู้สรรพสิ่งด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง เพื่อปลดปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าหลุดพ้นไปจากภาพมายาธรรมต่าง ๆ ที่คอยฉุดรั้ง หลอกลวงจิตไม่ไห้เห็นถึงความจริงซึ่งจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้นจากการยึด ติดในสิ่งทั้งปวงเปรียบเหมือนกระจก ฯ
จิตใจ......จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก
กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง
ดังนั้น......จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือหรืออยู่ในกระจก
สายฝน.....ในกระจก หาเปียกกระจกไม่
เปลวไฟ.....ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน
ทั้งนี้.........เพราะกระจกไม่ได้ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ
ดัง นั้น......จงทำใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก อย่ายึดติด เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น
นี่ คือมรรควิธีแห่งการเพ่งพิจารณาและรับรู้สรรพสิ่งด้วยใจที่สงบบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง เพื่อปลดปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าหลุดพ้นไปจากภาพมายาธรรมต่าง ๆ ที่คอยฉุดรั้ง หลอกลวงจิตไม่ไห้เห็นถึงความจริงซึ่งจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้นจากการยึด ติดในสิ่งทั้งปวงเปรียบเหมือนกระจก ฯ
หายใจให้ถูกแก้โรคความดัน
ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หายใจเข้าและออกไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท้องจะป่องเมื่อหายใจเข้า และท้องแฟบตอนหายใจออก ก็ดันเป็นในทางตรงกันข้าม ร้ายกว่านั้นคือ หายใจตื้น ๆ หน้าท้องไม่ขยับสักนิด
การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ
เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.
การหายใจที่ไม่ถูกหรือหายใจตื้นเกินไปทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง และขับคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ออกไปได้ไม่มาก ส่งผลให้การหมุนเวียนของโลหิตเร็วเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้มีอาการความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ที่สำคัญเมื่อความดันโลหิตสูงแล้ว โรคภัยร้าย ๆ ก็จะตามมา อาทิ หัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดเสื่อมสภาพ
เมื่อรู้ว่าโรคร้าย ๆ เกิดได้เพราะพฤติกรรมหายใจที่ผิด ๆ ทางแก้มีไม่ยาก แค่หายใจอย่างถูกวิธี หรือหายใจแบบทารก คือ การหายใจทางจมูก ปากปิดสนิท ลิ้นแตะเพดาน ไม่กัดฟัน ขณะสูดหายใจเข้าท้องป่อง ส่งให้หน้าอกขยายออกเล็กน้อย เมื่อหายใจออกท้องแฟบลง บริเวณหน้าอกขยับลงดังเดิม
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การหายใจทางปาก จะทำให้มีปัญหาฟันตามมาและทำให้นอนกรน รวมถึงการหายใจให้หน้าอกขยับแรง ๆ หรือเป็นการหายใจขณะตื่นเต้น ตกใจ ก็ควรเลี่ยง เพราะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ.
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
ยากไหม...ให้อภัยศัตรู
เคยไหมบางคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พอเห็นหน้าจะรู้สึกไม่ชอบทันที จะพูดจะทำอะไรดูเกะกะน่ารำคาญไปหมด แม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นเดียวกันนั่น เป็นเพราะอดีตเราไม่ยอมให้อภัยต่อกัน การที่ไม่ยอมให้อภัยเหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แม้จะไปที่ไหน สวมใส่เสื้อผ้าชนิดใด งามแค่ไหน ร่างกายของเราก็ยังคงสกปรกและตามไปทุกหนทุกแห่ง การให้อภัยเปรียบเหมือนการอาบน้ำชำระร่างกาย
ท่าน อาจลืมคิดไปว่าลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่เดือนร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่ไม่ได้อโหสิกรรมแก่กัน กรรมจึงติดตามกันมาเห็นผลถึงชาตินี้ บางทีคนที่เขาโกรธเราหากเราไม่โกรธตอบ ก็จะไม่เป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทร.ถึงก็หมดสิทธิจะคุยกันเพราะกระแสไม่ถึงกัน การตอบรับซึ่งกันและกันหากเป็นความโกรธ ความแค้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดไว้ด้วยกัน ทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราก่อน เพื่อป้องกันจิตมิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ คิดเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ไม่ไปยึดเป็นรักเป็นชัง ก็เมื่อแม้แต่รักพระท่านยังสอนให้ละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธแค้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้ ดังนั้น วิธีการแผ่เมตตาท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่าเป็นคนที่รักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่าเป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมโลกเดียวกันการคิดเช่นนี้เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลไม่เลือกที่รักมัก ที่ชัง
แผ่เมตตาให้สัตว์ที่กินเป็นอาหาร
เจ้า กรรมนายเวรคือสัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ ไก่ เป็ด ปลา กุ้ง หอย ต่างๆ นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันนับไม่ถ้วนกี่ร้อยกี่พันชนิด เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วนล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเป็นของเราคนเดียวแล้วไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขาเพื่อต่อชีวิตเราให้ยาวออกไป
หากเขารู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขาบางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอก็หาโรคไม่เจอ แต่พอแผ่เมตตากลับหายเรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริงก็คือแผ่ให้ตัวเรานั่นเองการให้เขาคือการให้เรา เพราะเขาอยู่กับเราเขาคือร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อมาเป็นพลังงานให้ชีวิตเรา
การแผ่เมตตาทำได้ ง่ายเพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ คิดถึงความดีของเขาที่ได้ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ การแผ่เมตตาถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิตที่ถูกปรุงเป็นอาหาร อร่อยวางบนโต๊ะอาหารรอเรามาขบเคี้ยว ชีวิตเราถูกเลี้ยงโดยสัตว์อื่นการกินคือการต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ 3 เวลา แต่ละเวลาเราต้องกินอาหารอื่นนับสิบชีวิต
ขอให้เราฝึกให้อภัย ทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ การให้อภัยแก่ใครนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ
เมื่อให้อภัยเสียแล้วใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขาก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้อโหสิเสียแล้ว ยุติสนิมในใจคือความพยาบาทอาฆาตให้หมดสิ้นไปจากใจของเราเสียแต่บัดนี้
ท่าน อาจลืมคิดไปว่าลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ทำลายชื่อเสียง ทำให้พ่อแม่เดือนร้อนนอนทุกข์นั้น แท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่ไม่ได้อโหสิกรรมแก่กัน กรรมจึงติดตามกันมาเห็นผลถึงชาตินี้ บางทีคนที่เขาโกรธเราหากเราไม่โกรธตอบ ก็จะไม่เป็นการตอบรับกระแสกัน เหมือนโทรศัพท์ถึงกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับ ฝ่ายที่โทร.ถึงก็หมดสิทธิจะคุยกันเพราะกระแสไม่ถึงกัน การตอบรับซึ่งกันและกันหากเป็นความโกรธ ความแค้น สิ่งที่จะตามมาก็คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดไว้ด้วยกัน ทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราก่อน เพื่อป้องกันจิตมิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุ คิดเสียว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ไม่ไปยึดเป็นรักเป็นชัง ก็เมื่อแม้แต่รักพระท่านยังสอนให้ละทิ้ง เพื่อมิให้ยึดติด แล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธแค้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้ ดังนั้น วิธีการแผ่เมตตาท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่าเป็นคนที่รักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่าเป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมโลกเดียวกันการคิดเช่นนี้เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลไม่เลือกที่รักมัก ที่ชัง
แผ่เมตตาให้สัตว์ที่กินเป็นอาหาร
เจ้า กรรมนายเวรคือสัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ ไก่ เป็ด ปลา กุ้ง หอย ต่างๆ นับตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันนับไม่ถ้วนกี่ร้อยกี่พันชนิด เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วนล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น อย่าคิดว่าเป็นของเราคนเดียวแล้วไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขาเพื่อต่อชีวิตเราให้ยาวออกไป
หากเขารู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขาบางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอก็หาโรคไม่เจอ แต่พอแผ่เมตตากลับหายเรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริงก็คือแผ่ให้ตัวเรานั่นเองการให้เขาคือการให้เรา เพราะเขาอยู่กับเราเขาคือร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อมาเป็นพลังงานให้ชีวิตเรา
การแผ่เมตตาทำได้ ง่ายเพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ คิดถึงความดีของเขาที่ได้ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ การแผ่เมตตาถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิตที่ถูกปรุงเป็นอาหาร อร่อยวางบนโต๊ะอาหารรอเรามาขบเคี้ยว ชีวิตเราถูกเลี้ยงโดยสัตว์อื่นการกินคือการต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ 3 เวลา แต่ละเวลาเราต้องกินอาหารอื่นนับสิบชีวิต
ขอให้เราฝึกให้อภัย ทุกวัน ทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ ขอให้เราทำทุกครั้ง ทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ การให้อภัยแก่ใครนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องธรรมดาๆ คือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ
เมื่อให้อภัยเสียแล้วใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้ แรงพยาบาทของเขาก็จะหมดโอกาสติดตามเรา เพราะกรรมนั้นหมดแรงส่ง เนื่องจากเราได้อโหสิเสียแล้ว ยุติสนิมในใจคือความพยาบาทอาฆาตให้หมดสิ้นไปจากใจของเราเสียแต่บัดนี้
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
เตือนภัย ! สาวๆที่ชอบต่อเล็บ
สาวๆ คนไหนชื่นชอบการต่อเล็บเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอย่าลืมมองข้ามความปลอดภัย และพึงระวังภัยเงียบที่เกิดจากการต่อเล็บเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยดีกว่าว่าเจ้าภัยเงียบนี้คืออะไร...
ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญได้แก่ “กาว” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้
อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็งตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราหรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ
ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญได้แก่ “กาว” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้
อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็งตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราหรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ
รู้แบบนี้แล้ว เห็นทีสาวๆ ที่รักสวยรักงาม และชื่นชอบการต่อเล็บต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยกันบ้างแล้วล่ะค่ะ...
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554
6 นิสัยดูแลสุขภาพ... แต่กลับพาให้ป่วย!
เชื่อไหมคะว่า กิจวัตรประจำวัน (บางอย่าง) ที่เราทำเพื่อให้สุขภาพร่างกายทั้งเราและลูกแข็งแรงนั้น อาจกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพก็เป็นได้ นั่นคือ
1. ออกกำลังกายมากเกิน ร่างกายของเราไม่ต้องการการออกกำลังกายหนัก ๆ ถึง 3-4 วันต่ออาทิตย์ อาทิตย์ละ 30-45 นาทีค่ะ คุณอาจทำโยคะ เดิน ยกน้ำหนักบ้างเล็กน้อยสลับกับการว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ และแอโรบิคบ้างก็ได้
2. อาบแดดรับวิตามิน จริงอยู่ร่างกายของเราต้องการวิตามินดี เพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย หากคิดจะอาบแดดถ้าเกิน 20 นาทีขึ้นไป ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้รับวิตามิน อาจได้รับโรคมะเร็งผิวหนังแทนก็ได้
3. สบู่ ครีมอาบน้ำ กำจัดแบคทีเรีย ใช้บ่อยครั้งแทนที่จะฆ่าแบคทีเรียชนิดแย่ ๆ บางทีมันอาจฆ่าแบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยบริเวณผิวหนังของพวกเราออกไปเสียจน หมดสิ้น จะให้ดีใช้สบู่ทั่ว ๆ ไปดีที่สุดค่ะ
4. นอน ๆ ๆ โดยเฉลี่ยพวกเราต้องการการนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่ถ้าคุณนอนน้อยหรือนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ไม่ดีต่อร่างกาย แถมยังส่งผลให้เราอ้วนหรือกินมากเกินความจำเป็น เกิดอาการสับสน และซึมเศร้าได้อีกด้วย
5. เปิดแอร์เย็น ๆ ตลอดวันคืน ในเครื่องปรับอากาศมีแบคทีเรียและเชื้อโรค รวมถึงฝุ่นผงต่าง ๆ อยู่มากมาย การใช้แอร์ทุกเวลาจึงเป็นการทำลายสุขภาพ ดังนั้น หันมาเปิดหน้าต่าง รับลมเย็น หรือเดินออกไปนั่งเล่นนอกบ้านเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ดีกว่าเยอะค่ะ นอกจากนี้ก็อย่าลืมหมั่นทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศด้วยน้ำอุ่นและ สบู่ พร้อมทั้งตากให้แห้งทุกครั้งก่อนใส่กลับเข้าที่ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว
6. อาหารออร์แกนิกส์ จำพวกผัก ผลไม้ที่ (มัก) มีราคาสูง ซึ่งคุณมั่นใจนักหนาว่าปลอดภัยนั้น บางครั้งอาจมีสิ่งปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง หรือพยาธิ มาทำลายสุขภาพอยู่ก็ได้ ดังนั้นอ่านฉลากข้างอาหารที่คุณซื้อทุกครั้ง แม้จะซื้อจากร้านอาหารเพื่อสุขภาพก็ตามนะคะ
1. ออกกำลังกายมากเกิน ร่างกายของเราไม่ต้องการการออกกำลังกายหนัก ๆ ถึง 3-4 วันต่ออาทิตย์ อาทิตย์ละ 30-45 นาทีค่ะ คุณอาจทำโยคะ เดิน ยกน้ำหนักบ้างเล็กน้อยสลับกับการว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ และแอโรบิคบ้างก็ได้
2. อาบแดดรับวิตามิน จริงอยู่ร่างกายของเราต้องการวิตามินดี เพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย หากคิดจะอาบแดดถ้าเกิน 20 นาทีขึ้นไป ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้รับวิตามิน อาจได้รับโรคมะเร็งผิวหนังแทนก็ได้
3. สบู่ ครีมอาบน้ำ กำจัดแบคทีเรีย ใช้บ่อยครั้งแทนที่จะฆ่าแบคทีเรียชนิดแย่ ๆ บางทีมันอาจฆ่าแบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยบริเวณผิวหนังของพวกเราออกไปเสียจน หมดสิ้น จะให้ดีใช้สบู่ทั่ว ๆ ไปดีที่สุดค่ะ
4. นอน ๆ ๆ โดยเฉลี่ยพวกเราต้องการการนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่ถ้าคุณนอนน้อยหรือนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ไม่ดีต่อร่างกาย แถมยังส่งผลให้เราอ้วนหรือกินมากเกินความจำเป็น เกิดอาการสับสน และซึมเศร้าได้อีกด้วย
5. เปิดแอร์เย็น ๆ ตลอดวันคืน ในเครื่องปรับอากาศมีแบคทีเรียและเชื้อโรค รวมถึงฝุ่นผงต่าง ๆ อยู่มากมาย การใช้แอร์ทุกเวลาจึงเป็นการทำลายสุขภาพ ดังนั้น หันมาเปิดหน้าต่าง รับลมเย็น หรือเดินออกไปนั่งเล่นนอกบ้านเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ดีกว่าเยอะค่ะ นอกจากนี้ก็อย่าลืมหมั่นทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศด้วยน้ำอุ่นและ สบู่ พร้อมทั้งตากให้แห้งทุกครั้งก่อนใส่กลับเข้าที่ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว
6. อาหารออร์แกนิกส์ จำพวกผัก ผลไม้ที่ (มัก) มีราคาสูง ซึ่งคุณมั่นใจนักหนาว่าปลอดภัยนั้น บางครั้งอาจมีสิ่งปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง หรือพยาธิ มาทำลายสุขภาพอยู่ก็ได้ ดังนั้นอ่านฉลากข้างอาหารที่คุณซื้อทุกครั้ง แม้จะซื้อจากร้านอาหารเพื่อสุขภาพก็ตามนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)